ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ปัญญาทำ

๓ ส.ค. ๒๕๖๗

ปัญญาทำ

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถามตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๗

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

ถาม เรื่อง ปัญญาอบรมสมาธิ

กราบนมัสการหลวงพ่อ เมื่อเช้านี้คือวันที่ ๒๗ ก่อนเทศน์เช้าผมนั่งภาวนาที่ศาลา ผมขึ้นมาก่อนเพื่อรอเทศน์ ในขณะที่ผมนั่งก็ใช้ข้อธรรมที่หลวงพ่อสอนเกี่ยวกับเวทนา ก็ถามตอบในตัวเองโดยใช้ปัญญาอบรมสมาธิคือตามความคิดไป โดยใช้เวทนาทางขามาพิจารณาว่า กระดูกปวดหรือ แล้วไม้ที่วางอยู่ทำไมไม่ปวด

จิตก็ตอบสวนมาว่า ไม่มีชีวิต

ผมก็ถามต่อ แล้วกระดูกมึงพูดบอกหรือว่าปวด

มันก็ตอบว่า แสดงว่าเป็นที่เนื้อ เป็นที่เอ็น เนื้อที่ปวด

ผมก็ถามต่อไป เอ็นเนื้อที่แขนล่ะทำไมไม่ปวด

จะเป็นลักษณะแบบนี้ไปตลอด คือต้องให้เป็นปัจจุบันถ้าของเก่าจะรู้ว่านั่นคือสัญญา

สิ่งที่ผมรู้สึกที่สำคัญคือ ในขณะที่ใช้ปัญญาอบรมสมาธิอยู่นั้น ความรู้สึกภายนอก เช่น เสียงทางหู สัมผัสต่างๆ รอบตัวหายไปหมด รู้ว่าไม่ได้นั่งหลับและตกภวังค์ ผมมั่นใจเพราะผมเคยตกภวังค์มาก่อน

สติชัดเจนมาก อยู่กับปัญญาที่ถามตอบจนถึงเวลาเทศน์ ผมจึงได้สัมผัสกับสิ่งภายนอกคือเสียงและทางกาย จนมีคำเทศน์ของหลวงพ่อคำหนึ่งเข้ามากระทบจิต คือคำว่า ธรรมมาแต่เหตุ ให้หาเหตุของทุกข์ เราเฝ้าหาแต่ผลของมัน

คำคำนี้ผมได้ยินมานาน แต่เหมือนกับสดๆ ใหม่ๆ มันชุ่มเย็นใจ มันลงใจครับ รู้สึกดีมีกำลังใจที่ได้ใช้สติปัญญา ถึงจะน้อยนิดก็เป็นกำลังใจครับ ผมมั่นใจว่าไม่ได้ตกภวังค์แน่นอนครับ

คำถามคือ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้คือสมาธิใช่ไหมครับ กราบขอบพระคุณ

ตอบ เขาใช้คำว่า ปัญญาอบรมสมาธิ” ปัญญาอบรมสมาธิเป็นตั้งแต่หลวงตาพระมหาบัวท่านเขียนเรื่องปัญญาอบรมสมาธิ โดยการฝึกหัดประพฤติปฏิบัติของท่านมา

เวลาท่านฝึกหัดปฏิบัติของท่านมาเริ่มต้นตั้งแต่ว่าท่านออกบวช ออกบวชแล้วก็ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าจบมหาแล้วจะปฏิบัติ

เวลาปฏิบัติๆ เวลาจะปฏิบัติขึ้นมา เวลาจะออกปฏิบัติ ก่อนที่ท่านศึกษาภาคปริยัติ เห็นอุปัชฌาย์เดินจงกรมแล้วหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ท่านก็ทำตามๆ เวลาทำตามนั้นท่านบอกว่า เรียนอยู่ ๗ ปี ลงสมาธิได้ ๓ ครั้ง

๗ ปีนะ ทำสมาธิได้ เป็นสมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิที่ถูกต้องชอบธรรม ๓ หน ๗ ปีได้ ๓ หน เวลาจะออกฝึกหัดปฏิบัติ จบมหา ศึกษาแล้วเวลาจบมหาแล้วจะออกปฏิบัติ เวลาปฏิบัติแล้วจะต้องไปหาหลวงปู่มั่นเท่านั้นๆ

ฉะนั้น เวลาออกปฏิบัติ ท่านไปหาหลวงปู่มั่นไม่ทัน ท่านถึงไปจำพรรษาที่จักราช ด้วยความศึกษามาจนจบเป็นมหาไง ก็ใช้ปัญญาๆ ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาใคร่ครวญเป็นสมาธิๆ เวลาเป็นสมาธิมันหยุดของมันได้ ถ้ามันหยุดของมันได้ เห็นไหม

แต่เวลาท่านจะตามหลวงปู่มั่นไป ตามหลวงปู่มั่นตามไม่ทัน ไปทำกลดหลังหนึ่ง เวลามันเสื่อมหมดเลย เวลามันเสื่อมหมดนะ ฟื้นขึ้นมาไม่ได้ไง

เวลาเสื่อมมันฟื้นขึ้นมาไม่ได้ เพราะเวลาปัญญาอบรมสมาธิ ใช้ปัญญาๆ ปัญญาก็ไล่ต้อนของมันไปนี่แหละ

ฉะนั้น เวลาปัญญาที่เราฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ ปัญญาอบรมสมาธิ เวลาเราใช้ปัญญาต่อสู้กับกิเลส คือกิเลสมันก็คิดของมันตามธรรมชาติของมัน แล้วมันเคยคิดตามธรรมชาติของมันจนเคยตัวของมัน

แต่เวลาเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเราก็ใช้สติปัญญาอย่างนี้เพื่อมาต่อกร มาพิจารณา มาแยกแยะว่าความคิดที่เคยคิดอย่างนี้มันถูกต้องชอบธรรมหรือไม่

เราเคยคิดโดยปัญญาของเราโดยสัญญาอารมณ์ของเราโดยธรรมชาติของมันอยู่แล้ว แต่เวลาศึกษาธรรมะแล้วเราก็มีธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรามาใช้ทบทวนใช้แก้ไขมันก็หยุดได้ๆ

เวลามันเสื่อมมันจับต้องไม่ได้เลย เวลาไปหาหลวงปู่มั่นไง หลวงปู่มั่นบอก จิตมันเสื่อมไปแล้ว จิตนี้เหมือนเด็กๆ ถ้าเหมือนเด็กๆ แล้ว เด็กมันต้องการอาหาร สิ่งที่มันเสื่อมไปแล้วไม่ต้องไปสนใจมัน ให้เตรียมอาหารให้มันไว้ เดี๋ยวถ้ามันหิวกระหายมันก็กลับมาเอง

คำว่า หิวกระหาย” เวลาใช้ปัญญาอบรมสมาธิมันก็หยุดของมัน แต่มันทำอย่างไรต่อไปล่ะ เพราะอะไร เพราะท่านเริ่มฝึกหัดปฏิบัติท่านยังไม่เข้าใจเรื่องธรรมะโดยข้อเท็จจริง

แต่ท่านศึกษามาจนท่านจบเป็นมหา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา แล้วเวลาท่านคิดของท่าน ท่านพิจารณาของท่าน ใช้ปัญญาอบรมสมาธิของท่าน แต่ขณะนั้นท่านเป็นปุถุชน ท่านยังไม่เข้าใจ ไม่เท่าทันกิเลสในใจของตน มันก็เหมือนกับเด็กๆ ฝึกหัดใหม่ มันก็ฝึกหัดของมันไปธรรมชาติของมัน แต่เวลาทำไปๆ แล้วเวลามันเสื่อมมันก็ไม่มีวิธีแก้ไขไง

เวลาไปหาหลวงปู่มั่น จิตมันเสื่อม มันทุกข์มันร้อน เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระอรหันต์ท่านเคยฝึกหัดปฏิบัติมาก่อน ปุถุชนคนหนา เวลาคนหนามันลุ่มๆ ดอนๆ เวลาฝึกหัดปฏิบัติมันทุกข์มันยากมาก เวลามันทุกข์มันยากมากเพราะอะไร

เพราะว่ามันเหมือนกับธรรมะไร้เดียงสา แต่กิเลสเป็นปู่ย่าตายาย มันคนละชั้นกันเลย เราฝึกหัดประพฤติปฏิบัติเหมือนธรรมะยังไร้เดียงสา

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วิมุตติสุข นั่นน่ะสุดยอด แต่เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยหัวใจของเรา ธรรมะของเรามันไร้เดียงสา เวลาถ้ามันมีวาสนามันก็ทำของมันได้ พิจารณาไปแล้วมันก็หยุด มันก็เป็นสมาธิได้ แต่เวลามันเสื่อมๆ จะจับต้นชนปลายอย่างไร

เวลาท่านไปหาหลวงปู่มั่นไง ให้หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ พอคำบริกรรมพุทโธๆๆ ไว้ ท่านบอกว่าบริกรรมหลายวันมาก

เวลาบริกรรมหลายวันมาก จิตมันเหมือนเด็กๆ จิตมันก็เที่ยวเตลิดเปิดเปิงของมันไป จิตมันเหมือนเด็กๆ แล้วมันมีพญามารที่เป็นปู่ย่าตายายควบคุมมัน มันก็พาเตลิดเปิดเปิงไป พาเตลิดเปิดเปิงไป กิเลสที่เป็นปู่ย่าตายายมันหลอกให้เด็กไปทุกข์ไปยากแล้ว ถึงเวลามันก็วางตัวมัน พอมันคลายตัวมันออกมันก็เลยเก้ๆ กังๆ ทำอะไรไม่ถูกไง

หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เกาะสิ่งนั้นไว้

เด็กเวลามันหิวอาหารมันต้องกลับมา พอกลับมา กลับมาอยู่ที่สติปัญญาของตนไง มันก็กลับมาเป็นสัมมาสมาธิได้ ท่านก็เริ่มฝึกหัด

หลวงตาพระมหาบัวท่านเห็นคุณเห็นโทษในการประพฤติปฏิบัติมาก่อน หลวงปู่มั่นท่านปฏิบัติมาล้มลุกคลุกคลานมาขนาดไหนท่านรู้ ฉะนั้น เวลาท่านฝึกหัด ท่านปฏิบัติ ท่านถึงบอกว่า อย่าทิ้งผู้รู้ อย่าทิ้งพุทโธ ถ้ามันประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง

ฉะนั้น เวลาว่ามันเป็นปัญญาอบรมสมาธิๆ เพราะมันใช้ปัญญาพิจารณาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันไม่ให้กิเลสมันคิดเตลิดเปิดเปิงไปตามกำลังของมันตามความพอใจของมัน นี้คือปัญญาอบรมสมาธิ

นี้คือข้อเท็จจริงที่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตาพระมหาบัวท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านประพฤติปฏิบัติมาก่อน แล้วตอนที่ท่านปฏิบัติเริ่มต้นในการปฏิบัติ ธรรมะยังไร้เดียงสาในหัวใจของท่าน ล้มลุกคลุกคลาน มันเอาตัวไม่รอดน่ะ

ฉะนั้น เวลาฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นจริง มันต้องหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ไม่ทิ้งผู้รู้ ไม่ทิ้งพุทโธ ถ้ามันเป็นปัญญาอบรมสมาธิๆ เราก็ใช้สติปัญญาของเรา

ถ้าใช้สติปัญญาของเรา เวลามันหยุดแล้วคืออะไร

ถ้ามันเป็นธรรมะไร้เดียงสานะ บรรลุธรรม” เวลาตรึกในธรรม เวลามันตรึกข้อใดแล้วเวลามันขบปัญหาแตก โอ้โฮมันถือตัวถือตน มันถือว่ามันบรรลุธรรมๆ บรรลุธรรมเพราะอะไร

เพราะเริ่มต้นที่โดยชีวิตปกติของเราก็ทุกข์ยาก จริงไหม แล้วเรามาตรึกในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วใช้ปัญญา จริงไหม แล้วเวลากิเลส ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญามันเหนือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราใช้ปัญญาของเราใคร่ครวญ นี่ปัญญาทำ มันพิจารณาของมัน

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากิเลสมันกลัว กลัวอะไร กลัวเหตุกลัวผล ทีนี้เหตุผลนั้นมันเหนือกว่าไง มันก็อาย ม้วนต้วน มันก็หลบไง โอ้โฮมันก็มีความสุขนะ มันก็มีความสบายใจนะ...ปัญญาอย่างนี้หรือที่บอกว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา

แล้วสำนักปฏิบัติหรือการปฏิบัติโดยทั่วไป เพราะกึ่งกลางพระพุทธศาสนา ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง เจริญโดยหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตาพระมหาบัว ท่านมีคุณธรรมในใจของท่าน ท่านมีวิหารธรรม ท่านมีสดมภ์หลักในใจที่มั่นคง ท่านแสดงธรรมมีเหตุและมีผล มีตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่พื้นฐานปุถุชน กัลยาณชน

คนที่ทำสมาธิไม่เป็น คนที่ปฏิบัติไม่เป็นก็ให้ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติให้จิตมันสุขมันสงบเข้ามา จิตมันสุขมันสงบเข้ามาแล้วเป็นปกติจิต จิตที่มีความสุข สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วค่อยฝึกหัดวิปัสสนา เริ่มต้นในการวิปัสสนาคือใช้ปัญญาของตนเอง

ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธินี้คือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใจของเรากิเลสเต็มตัว กิเลสเป็นปู่ย่าตายายไง ธรรมะนี้เป็นธรรมะไร้เดียงสาที่เราฝึกหัดขึ้นมาไง มันเป็นปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มต้นจากสัญญาคือความจำจากธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในการศึกษาธรรมและวินัยที่เป็นศาสดาของเรา

เราศึกษาธรรมและวินัยที่เป็นของศาสดาแล้วเรามาใคร่ครวญฝึกหัดปฏิบัติ มันเป็นปัญญาไหม เป็น แต่มันเป็นปัญญาโลกๆ เป็นปัญญาอบรมสมาธิ ผลของมันคือสมาธิไง ผลของมันคือสมาธิคือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ แต่ถ้าคนที่ประพฤติปฏิบัติที่ไม่มีวุฒิภาวะไง มันใช้ปัญญาอย่างนี้แล้วมันก็คิดว่าอย่างนี้บรรลุธรรม

ถ้ามันเท่าทันมันหยุดจริงๆ นะ กิเลสมันอายม้วนต้วน กิเลสมันหลบไปไง แต่กิเลสหลบไปแล้วทำอย่างไรต่อ

เวลาคนที่โดยพื้นฐาน กึ่งกลางพระพุทธศาสนา ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ เพชรน้ำหนึ่ง เพชรน้ำหนึ่งคือพระอรหันต์ในสมัยกึ่งกลางพระพุทธศาสนามันมีจริตนิสัยที่แตกต่างกันไป

ฉะนั้น เขาบอก หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หรือพุทโธถี่ๆ พุทโธไวๆ พุทโธ บริกรรมพุทโธๆ พุทโธไปเลย หรือใช้อานาปานสติ นี้คือเจโตวิมุตติ คือผู้ที่จิตสงบแล้วพิจารณากาย แล้วมีครูบาอาจารย์อย่างนี้จำนวนมากกว่า ท่านถึงให้ใช้หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ นี้คือคำบริกรรม นี้คือการทำสมาธิให้มันเป็นสัมมาสมาธิ

แต่ด้วยอำนาจวาสนาไง เพราะคำถามเขาบอกอยู่แล้วไง ผมเคยตกภวังค์มาก่อน ผมว่านี่มันไม่ใช่ภวังค์

ผมเคยตกภวังค์มาก่อน” เพราะมันตกภวังค์หมด หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ แล้วก็จิตมันเวิ้งว้าง จิตมันไม่มีสติสัมปชัญญะ นั่งหลับหมดน่ะ

ภวังค์คือหลับ หลับมาก หลับน้อย ถ้าไม่หลับมันก็ละเมอ เวลามันเพ้อพกขึ้นไปไง แล้วไม่มีครูบาอาจารย์ที่คอยแก้ไข ไม่มีครูบาอาจารย์ยืนยันว่ามันไม่ใช่สมาธิ มันจะลงสู่ภวังค์ คำว่า ลงสู่ภวังค์” มันลงกลับคืนไปสู่ใต้อำนาจของพญามาร

เริ่มต้นประพฤติปฏิบัติ มารมันก็กีดกันอยู่แล้ว เวลาปฏิบัติไปนะ มันก็บังคับให้หลงใหลเข้าไปยอมจำนนอยู่กับอำนาจของอุปกิเลส โอภาส สว่างไสว อุปกิเลส ๑๖ กิเลสคือความทุกข์ความยาก กิเลสคือตัณหาความทะยานอยาก คือการขับไสของกิเลสในหัวใจของเรา นี่กิเลสโดยพื้นฐานของมนุษย์

แล้วเวลาฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สว่างไสว ว่างหมดเลย”...อุปกิเลส กิเลสของจิตล้วนๆ ไง

เวลาทุกข์กายทุกข์ใจไง ทุกข์กายๆ ทุกข์กายเพราะทำหน้าที่การงานเหงื่อไหลไคลย้อยมันทุกข์มันยาก เรื่องของร่างกาย นักกีฬาที่เขาใช้นักกีฬาทางต่อสู้ นักกีฬาทางกายเขาก็ต้องทุกข์ยากด้วยความทุกข์ความยากทางร่างกายของเขา นี่ไง เวทนากาย

เวทนาจิต ผู้บริหาร ผู้ที่ควบคุมนโยบายก็ใช้แต่ความคิดไง นโยบายควบคุมดูแลมันก็เป็นความทุกข์ความยากว่าเขาทำไม่สมความปรารถนา เขาทำไม่ได้อย่างต้องการ มันก็เป็นทุกข์ทางจิต

ทางจิต ไม่ต้องทำอะไรมันก็ทุกข์ของมันเพราะมันคิดทุกข์ ร่างกายนี้มันทุกข์เพราะมันเหนื่อยมันยาก ทุกข์กายทุกข์ใจ เวลามันทุกข์กายทุกข์ใจ

สิ่งที่ว่าเวลาถ้าไม่มีสติไม่มีปัญญา เวลามันตกภวังค์ๆ ไป มันเป็นภวังค์ทั้งนั้นน่ะ

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หรือพุทโธถี่ๆ พุทโธไวๆ ถ้าสติไม่เท่าทัน ตกภวังค์หมด แล้วตกภวังค์ด้วยความไม่เข้าใจไง ตกภวังค์ไป ไปเห็นนิมิต ไปเห็นต่างๆ ก็ว่า โอ๋ยบรรลุธรรมๆ” มันไม่มีเหตุไม่มีผลอะไรเลย

โดยข้อเท็จจริงของครูบาอาจารย์เรานะ ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน คือทำสมาธินี่แหละ สิ่งที่สัญญาอารมณ์ อารมณ์ความรู้สึกไม่ใช่จิต อารมณ์ความรู้สึก ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕

อารมณ์ความรู้สึกเวลากิเลสมันหนาก็อารมณ์ความรู้สึกนี่แหละคิด ถ้าคิดไปทางโลกก็คิดแบบโลก คิดแบบทุกข์แบบยาก คิดแบบโลกเขา

เรามีอำนาจวาสนา เรามาศึกษาพระพุทธศาสนา เราจะใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เราก็ใช้ความคิดเหมือนกัน แต่ความคิดโดยธรรม ความคิดโดยธรรมโดยเหตุโดยผลไง ถ้าความคิดโดยธรรมโดยเหตุโดยผล เหตุผลที่กิเลสมันกลัว มันกลัวตรงนี้ไง

เพราะกิเลสมันไม่มีเหตุมีผลอะไรทั้งสิ้น มันเป็นอารมณ์ความรู้สึก มันมีแต่ความพอใจ มันมีแต่ตัณหาความทะยานอยาก มันมีความต้องการโดยไม่มีเหตุไม่มีผล มันต้องการครองโลก มันต้องการยึดมั่นถือมั่น มันต้องการยึดครองชีวิต มันยึดครองจิตนี้สำคัญที่สุดเลย

เพราะจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไม่มีต้นไม่มีปลาย มันยึดตรงนี้ไว้ทั้งนั้นน่ะ แล้วเอ็งก็เกิดตายไปตลอด แล้วมันก็คุมชีวิตเอ็งไปไม่มีที่สิ้นสุด แล้วเวลาจะเริ่มต้น จะเริ่มต้นอย่างไร จะเริ่มต้นอย่างไรเพราะอะไร

เพราะจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ สิ่งมีชีวิตมันไม่มีต้นไม่มีปลายมาทั้งนั้น แล้วคนที่สร้างคุณงามความดี พระโพธิสัตว์ๆ ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ แล้วเวลาเสื่อมมานี่คลายไป มันก็มีความดีความชั่วที่แตกต่างกันไป

จริตนิสัยคนแตกต่างกันทั้งนั้น จะทำสมาธิเหมือนกัน วิธีการเดียวกัน แต่จะได้ไม่เหมือนกัน ได้ไม่เท่ากัน แล้วมันก็อยู่ที่สติปัญญาของคนด้วย สติปัญญาของคนคนนั้น ถ้ามีสติปัญญา เขาจะบำรุงรักษา

นี่ไง ชำนาญในวสีไง ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุไง มันต้องมีเหตุมีผลของมันไง ถ้ามีเหตุมีผล มันดูแลที่เหตุนั้นไง

มันจะทุกข์จะยากขนาดไหน เราไม่สนใจ เราสนใจที่เหตุของเรา เพราะเราทำของเรามาอย่างนี้ แล้วจะทำคุณงามความดีของเราอย่างนี้ แล้วเราศึกษาค้นคว้า เราปฏิบัติของเราอย่างนี้ ทำของเราไปๆ

จะให้เห็นว่า ปัญญาอบรมสมาธิมันเป็นยุคเป็นคราว

เริ่มต้นสัทธาจริต เริ่มต้นของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านก็ทำของท่านมาอย่างนี้ แล้วด้วยวาสนาของตน ท่านก็ฝึกหัดของท่านเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป แล้วท่านถึงจะไปฝึกหัดลูกศิษย์ลูกหาของท่าน

ท่านไปอยู่ถ้ำสาริกา ๓ ปี ได้ขั้นที่ ๒ ที่ถ้ำสาริกา และขั้นที่ ๓ หลวงปู่มั่นมาได้ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ถ้ำสาริกา นครนายก สุดท้ายแล้วท่านก็กลับไปสอน วางรากฐานของกรรมฐาน

ทีนี้เวลาวางรากฐานของกรรมฐาน ส่วนใหญ่หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ โดยส่วนใหญ่ทำอย่างนั้น ถ้าทำอย่างนั้นนะ ท่านก็ได้ธรรมทายาทมามากมาย แต่ที่เป็นปัญญาอบรมสมาธิ ที่เป็นโดยข้อเท็จจริงมีหลวงปู่ดูลย์ มีหลวงตา แต่หลวงตามหัศจรรย์กว่า มหัศจรรย์กว่าเพราะอะไร

เพราะโลกนี้มันแตกต่างหลากหลายมากกว่า จิตของคนมันมีมหาศาล เราจะเอาทิศทางใดทิศทางหนึ่ง มันก็เหมือนกับเราปิดกั้นทิศทางอื่นว่าทิศทางนั้นไม่สมควร จะต้องทิศทางนี้เท่านั้น

แต่ในอริยสัจ ในสัจจะความจริง ในที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมมา เมตตาธรรมค้ำจุนโลก ท่านเอาหมดทั้งโลก ทั้งสามโลกธาตุ ถ้าสามโลกธาตุนะ จะมีความชำนาญทางไหน สัทธาจริต พุทธจริต เวลาจริต จริตนิสัยของคนที่มันแตกต่าง

โดยเบสิกโดยเริ่มต้นมันต้องฝึกหัดให้เขาทำความสงบของใจให้ได้ เพราะผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา เพราะปัญญา ปัญญามันมีหลายขั้นตอน มันมีหลายระดับ มันมีความลึกซึ้งตื้นลึกหนาบางแตกต่างกันมากมายมหาศาล

ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมาท่านจะฟังรู้เลยว่าปัญญาขั้นนี้มันขั้นอะไร ปัญญาที่มันลึกๆ ขนาดนี้มันลึกตรงไหน ลึกแล้วมันเป็นข้อเท็จจริง หรือมันลึกเพราะอุปาทาน ลึกเพราะว่าเราตั้งชื่อว่าลึกหรือตื้น มันไม่ใช่ปัญญาลึกหรือตื้น มันเป็นความเห็นของเราว่าลึกหรือตื้น

ปัญญามันยังมีหยาบ มีกลาง มีละเอียดลึกซึ้งลึกลับซับซ้อนเข้าไป ลึกลับซับซ้อนเข้าไปเพราะกิเลสของคนมันมีสูงมีต่ำ กิเลสของคนมีขั้นมีตอน เพราะมันเป็นบุคคล ๔ คู่

ฉะนั้น เวลาฝึกหัดใช้ปัญญาๆ ปัญญาอบรมสมาธิ มันเป็นปัญญาของสามัญสำนึก มันเป็นปัญญาของมนุษย์ ถ้าจะบอกว่ามันเป็นสมมุติบัญญัติก็ใช่ มันเป็นสมมุติบัญญัตินี่แหละ แต่สมมุติบัญญัติ เราเอาสมมุติบัญญัติมาวิเคราะห์วิจัยพระพุทธศาสนา มันถึงเป็นปัญญาอบรมสมาธิ

เพราะพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ฆ่ามาร มีวิหารธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมบูรณ์แบบแล้ว สมบูรณ์แบบแล้วคือศาสนาประกาศแล้ว แสดงธัมมจักฯ แล้ว อัญญาโกณฑัญญะเป็นสงฆ์องค์แรกของโลกแล้ว มันมีข้อเท็จจริง แต่มันเป็นจุดหนึ่งจุดเล็กๆ ในโลกนี้ไง

เป็นจุดหนึ่งคือพระอรหันต์ ๕ องค์ แล้วเวลาแสดงยสะได้ ๖๐ องค์ แล้วประชากรในยุคนั้นก็เป็นพันล้านนะ เป็นพันล้านแล้วเหมือนกัน ถ้าเป็นพันล้าน เพราะทั่วโลก แล้ว ๕ องค์ ๖๐ องค์ กับพันๆ ล้าน ในปัจจุบันนี้ ๗ พันล้าน พระนี่ ๓๔ แสน

แล้วพระปฏิบัติปฏิบัติอะไรกัน สมาธิยังไม่รู้จัก มันแบ่งแยกตรงนี้ไม่เป็นไงว่าอะไรเป็นสมถะ อะไรเป็นสมาธิ แล้วสมาธิเป็นอย่างไร

แล้วเวลาถ้าไม่เป็นนะ มันน่าเห็นใจตรงที่ว่า ฌานเป็นอจินไตย ๔ คือสมาธิเป็นอจินไตยอันหนึ่งเลย เพราะลัทธิศาสนาต่างๆ เขาก็ทำสมาธิ เขาก็ใช้จิตเหมือนกัน แต่เขาเป็นฌานโลกีย์ เขาเป็นอภิญญา เขาเป็นโลกไง

เขาเป็นโลก เขาบอก พุทโธๆ แล้วจิตเห็นนิมิต” นี่เป็นโลกทั้งนั้นน่ะ เพราะมันเป็นฌาน ฌานเป็นอจินไตย

แต่ศีล สมาธิ ปัญญา เห็นไหม

ฌาน เวลาฌาน เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านชำนาญนะ ฌานกับสมาธิใช้แทนกันได้ ใช้แทนกันคือใกล้เคียงกัน ก็มันเป็นความสงบของจิตเหมือนกัน ฌานกับสมาธิ

ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่มีศีล ฌาน ปัญญา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้เอาฌาน

เอาสมาธิ แล้วสมาธิระดับไหนล่ะ แล้วสมาธิเป็นอย่างไรล่ะ แล้วอะไรเป็นสมาธิล่ะ

มันเป็นภวังค์หมดไง มันเป็นภวังค์เพราะมันเป็นฌานโลกีย์ไง ถ้ามันเป็นฌานโลกีย์เพราะอะไร เป็นฌานโลกีย์เพราะไม่มีวาสนาไง ไม่เข้าสู่สัมมาอาชีวะไง

สัมมาอาชีวะ สัมมากัมมันโต สัมมาคือความถูกต้องชอบธรรมของจิต จิตที่ทำงานที่เป็นมิจฉาเป็นความเห็นผิด มันจะเข้าสู่มรรคได้อย่างไร มันเข้าสู่มรรคไม่ได้ไง

นี่พูดถึงว่า ปัญญาอบรมสมาธิ นี่ปัญญาทำๆ ปัญญาทำสมาธิ

กับถ้าสมาธิทำปัญญา สมาธิ ทำสมาธิโดยคำบริกรรม ทำสมาธิโดยการกำหนดลมหายใจ นี่มันต้องมีสมาธิเป็นพื้นฐานทั้งนั้น

ฉะนั้น สิ่งกรณีนี้มันอยู่ที่ภาวนาเป็นหรือภาวนาไม่เป็น ถ้าภาวนาเป็นแล้วมันรู้ถึงเบสิก รู้ถึงพื้นฐาน

การศึกษานะ จะจบดอกเตอร์ จะจบสิ่งใดก็แล้วแต่ เริ่มต้นมาจากอนุบาลทั้งนั้นน่ะ อนุบาลพื้นฐาน แล้วคนจบการศึกษาเป็นนักวิชาการในการศึกษาไม่รู้ถึงเบสิกในการทำความสงบนี่มันแปลกนะ เราฟังแล้วมันแปลก แปลกมากๆ

ผู้ที่ชำนาญการศึกษาเป็นผู้ที่ค้นคว้าในการศึกษาแล้วไม่รู้จักสมาธิ แล้วสมาธิ อาการของสมาธิ มันเป็นไปไม่ได้ นี้มันคืออะไร

แต่ถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา นี่คำถามไง ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิเป็นสมาธิได้หรือไม่

เป็น แต่ต้องเป็นสัมมาสมาธิความถูกต้องชอบธรรม เพราะปัญญาอบรมสมาธิมันเท่าทันอารมณ์

ถ้าทางโลกนี่เป็นอารมณ์ เป็นความรู้สึกนึกคิด แต่ถ้าทำสมาธิได้นะ มันจับอารมณ์ได้นะ มันจะเป็นขันธ์เลย เห็นไหม ขันธมารกับขันธ์ที่สะอาดบริสุทธิ์ นี่เวลาเป็นขันธ์

เพราะในพระพุทธศาสนาไง อารมณ์ความรู้สึกประกอบด้วยอารมณ์หนึ่ง รูป นามธรรมนี้เป็นรูป รูปกับนาม แล้วถ้าเราเป็นเรา มันเป็นอารมณ์หมดเลย แล้วจะจับต้องอย่างไรล่ะ

ฉะนั้น เวลาจับต้องได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการหลานพระสารีบุตรไง ถ้าเธอไม่พอใจสิ่งต่างๆ เธอต้องไม่พอใจอารมณ์ของเธอด้วย เพราะอารมณ์ของเธอก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง

คือรูป อารมณ์ความรู้สึก เพราะอารมณ์คิดแล้วมันมีความรู้สึก มันมีรูป รูปที่เป็นนามธรรม พอจิตมันสงบแล้ว ถ้าจิตสงบแล้วคนไม่รู้ไง เพราะคนที่ภาวนาไม่เป็น หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ แล้วมีความรู้สึกมันวูบ มันระเบิด...อารมณ์ทั้งนั้นน่ะ

บรรลุธรรม บรรลุธรรมอะไรของเอ็ง บรรลุธรรมๆ บรรลุธรรมโดยกิเลสไง กิเลสมันปิดหูปิดตาแล้วกิเลสมันขับมันไสด้วยความปรารถนา ด้วยความเชื่อของสังคม สังคมพระพุทธศาสนามีอริยบุคคล มีผู้ที่รู้ธรรม ไอ้เราวูบไปทีหนึ่งก็รู้ธรรมๆ...รู้ธรรมอะไร

แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ท่านอบรมบ่มเพาะ ท่านจะแก้ไข แล้วถ้าเป็นหลวงปู่มั่นนะ เอาตายเลย เอาตายคือเอาให้กิเลสตายไง เอาให้ความหลงผิดตายไป แล้วให้สติปัญญาฟื้นกลับมา ให้การประพฤติปฏิบัติให้เป็นความถูกต้องชอบธรรม

ถ้าเป็นความถูกต้องชอบธรรมมันยังแสนทุกข์แสนยาก เพราะความคิดเร็วกว่าจิต อารมณ์มันเกิดขนาดไหน ความทุกข์เราท่วมท้น แล้วเราจะแก้ไข เราจะทำให้จิตสงบ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี เราจะทำความที่ทุกข์ยากให้กลับมาเป็นปกติสุข

แล้วปกติสุข เราก็ยังลงทุนลงแรง สมถกรรมฐาน เรายังทำกันเกือบเป็นเกือบตายให้เป็นพื้นฐาน ให้เป็นสมถกรรมฐาน แล้วถ้าการขุดคุ้ยค้นคว้าหากิเลส การขุดคุ้ยค้นคว้า ทำไมต้องขุดคุ้ยค้นคว้า

เพราะคนมันไม่เห็นกิเลสไง คนมันไม่เห็นกิเลส มันไม่รู้จักกิเลส มันจะเข้าไปต่อกรหรือเข้าไปแยกแยะกิเลสได้อย่างไร ฉะนั้น พอขุดคุ้ยค้นคว้าหากิเลส มันถึงได้เห็นกิเลส ถ้าเห็นกิเลสแล้วมันจะยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้าครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติเป็นไง

การขุดคุ้ยค้นคว้าเป็นงานที่สำคัญในวงกรรมฐาน ผู้ที่ทำความสงบของใจแล้วต้องฝึกหัดขุดคุ้ยค้นคว้า ค้นคว้าหากิเลส ถ้ามันจับกิเลสได้มันก็สะเทือนกิเลส

เพราะจับกิเลส กิเลสก็เป็นนามธรรม เวลามันจับได้ ขนพองสยองเกล้า พอขนพองสยองเกล้าแล้วถ้ามันฝึกหัดใช้ปัญญา นั่นจะเป็นวิปัสสนาแล้ว

วิปัสสนาคือความรู้แจ้งแทงตลอดกิเลสในใจของคน ถ้ามันรู้แจ้งแทงตลอดกิเลสในหัวใจของคนด้วยมรรค ๘ ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ นี่ความชอบธรรมไง

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าเป็นปัญญาทำๆ มันมีสติมีปัญญา มันทำของมันไปมันไม่ตกภวังค์ มันไม่ละเมอเพ้อพก

ไอ้หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หรือพุทโธๆ ถ้ามีสติสัมปชัญญะ เวลาเป็นสมาธินะ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ เวลาสมาธิ มันเข้าสมาธิ โอ้โฮมันมีความสุขมาก

ถ้าหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เวลาโค่นต้นไม้ เหมือนต้นไม้สูงใหญ่มากล้มลง มันตึงเลยน่ะ

แต่ถ้าปัญญาอบรมสมาธิ มันแตกกิ่งแตกก้านขึ้นมา เวลามันเป็นสมาธิ มันเป็นสมาธิที่เรียบง่าย แล้วเวลาฝึกหัด เพราะอะไร

เพราะอริยสัจมีหนึ่งเดียว มันต้องเข้าสู่อริยสัจเหมือนกัน ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิถ้าเป็นสมาธิแล้ว พอมันหยุดแล้วทำอย่างไรต่อ

ก็พุทโธ พอพุทโธ เดี๋ยวก็คิดอีก

ถ้าไม่พุทโธ ปัญญามันเท่าทันแล้วนะ กิเลสมันหลบมันหลีกไป มันก็หยุด แต่ถ้ามันคิด มันก็ไม่แสดงตัว ไม่คิดมันก็ไม่ต่อเนื่อง

สันตติไง มันต้องต่อเนื่อง เพราะความคิด จิตวิญญาณความรู้สึกมันต่อเนื่อง สันตติมันจะมีต่อเนื่องตลอดไป ถ้าไม่ต่อเนื่องมันก็แว็บตกภวังค์เหมือนกัน

แต่ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิมันไม่ตกภวังค์เพราะอะไร เพราะมันมีปัญญาไง มันมีสติไง ถ้าไม่มีสติไม่มีปัญญา มันไม่เท่าทันความคิดไง

เวลาความคิดมันรุนแรง มันคิดจนจบแล้วนะ เฮ้ยกูคิดอะไรวะ มันจบไปแล้ว แต่พอมันทันๆ มันทันเพราะอะไร มันทันเพราะมีสติไง พอมีสติมันเท่าทันๆ มันถึงไม่ลงภวังค์ไง

แต่พอมันหยุดแล้วทำอย่างไรต่อไป

หยุดก็พุทโธสิ พุทโธ เดี๋ยวมันก็คิดอีก ถ้าไม่พุทโธ นี่กิเลสมันร้ายนัก ไม่พุทโธมันก็จะหายไปเลย แต่ถ้าตั้งสติ มันก็จะคิดอีก คิด ก็ไล่อีก ถ้าไล่ไปมันก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิ

แล้วถ้าหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เวลามันกลมกลืนกัน มันละเอียดขึ้นไป หายใจจนลมหายใจละเอียดลึกซึ้ง จนลมหายใจขาดไป แต่จิตไม่ขาด

ลมหายใจเวลามันลงถึงฐานเลยนะ เวลาจิตมันจะลง มันจะวูบ มันจะอะไรร้อยแปด เวลาจะวูบก็ตกใจ เวลามันจะวูบก็ร้อยแปด

เวลาถ้าครูบาอาจารย์ที่เป็นนะ เวลามันวูบ เออใช่แล้ว เชิญ วูบถึงฐีติจิตเลย กรึ๊บสักแต่ว่าปรากฏ นี่คืออัปปนาสมาธิ จิตอยู่ในร่างกายนี้ สมาธิคือไม่พาดพิงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น จิตนี้ไม่รับรู้เรื่องร่างกายเลย รูป รส กลิ่น เสียง เสียงให้ฟ้าผ่าก็ไม่ได้ยิน ลมจะพัดขนาดไหนเข้าถึงใจไม่ได้ จิตที่อยู่ในร่างกายนี้จะเป็นอิสระขนาดนั้นเลยถ้าเข้าอัปปนาจิตรวม ถ้าสมาธิเป็นอย่างนี้ อย่างนี้ใช้วิปัสสนาไม่ได้

ต้องเวลามันคลายตัวออกมา ถ้าจากอัปปนามันจะออกสู่อุปจาระ เพราะมันคิดไง พอมันคลายตัวออกมามันรับรู้ถึงร่างกาย รับรู้ถึงผิวหนัง รับรู้ถึงเสียง นี่ไง สมาธิที่คิดได้ ถ้ามันเห็นกาย มันขุดคุ้ยของมันขึ้นมา มันก็จะเห็นกายของมัน เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม นี่อุปจาระ ระหว่างจิต อุปจาระ นี่เป็นขันธ์แล้ว จิตเสวยอารมณ์ จิตพาดพิงอารมณ์ มันถึงคิดได้

ถ้าอัปปนา จิตมันไม่พาดพิง มันอยู่ของมันโดยอิสระ อัปปนาคิดไม่ได้ คิดไม่ได้ ถ้าอัปปนาคิดได้ ขัดแย้งแล้ว

เวลาฝึกหัดใช้ปัญญาไง แล้วเวลาปัญญามันเกิดขึ้น เวลาถ้าขุดคุ้ยค้นคว้ามันเห็นของมันนะ วิปัสสนาเกิดตรงนี้

ลูกศิษย์กรรมฐาน พระกรรมฐานทั้งหมดยกขึ้นสู่วิปัสสนาไม่เป็น สมถกรรมฐานยกขึ้นสู่วิปัสสนากรรมฐาน เออออห่อหมกไปเอง เวลาใช้ปัญญาอบรมสมาธิหรือปัญญาคิดของเรานี่แหละ เวลามันวูบวาบขึ้นไปนะ บรรลุธรรมๆ” มันถึงไม่มีขณะไง แล้วพวกเราไม่ต้องมีขณะไง ก็พวกเราทั้งหมดภาวนาไม่เป็นไง สังคมที่ภาวนาไม่เป็น จับต้นชนปลายไม่ได้ เหลวไหลกันไปหมด

ถ้าคำว่า เหลวไหลๆ” เพราะคำว่า เหลวไหล” จับต้นชนปลายไม่ได้ เวลามันวูบก็ตกภวังค์นั่นแหละ วูบหายไปเลย วูบไง ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม ธรรมะมันมีอยู่แล้ว” คือไม่ต้องทำอะไร ไม่มีอะไรเลย แต่ว่ามี มีโดยอุปโลกน์ สันนิษฐานเอา

โดยสันนิษฐานกัน เพราะเห็นหลวงปู่มั่น เห็นครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติ เราก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน สันนิษฐานว่าใช่ คือเดาเอา คือด้นเดา ผู้ใดปฏิบัติธรรมไม่สมควรแก่ธรรม ด้นเดา เดาจิต ด้นจิต เดาจิต จินตนาการจิต สันนิษฐานจิต บรรลุธรรมๆ”...ไม่มี

ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม สมควรแก่ธรรมเหมือนคำถาม ผมปฏิบัติมา เวลามาใช้ปัญญาอบรมสมาธิ” เพราะใช้ปัญญาอบรมสมาธิโดยสติโดยปัญญาแล้วมันเป็นประโยชน์กับผู้ที่ถามนี้ เพราะเขาเคยตกภวังค์มาก่อน เขาเคยทุกข์ยากมาก่อน แล้วฝึกหัดปฏิบัติของเราไง

ไอ้เคยทุกข์เคยยากมาก่อน เคยตกภวังค์มาก่อน เวลาปฏิบัติแล้ว เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่งไง หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติของท่านถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้วท่านวางข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา เวลาประชุมคณะสงฆ์ ประชุมพระกรรมฐานด้วยกัน แล้ววางแนวทางปฏิบัติให้เหมือนกัน เวลาปฏิบัติเหมือนกันเพราะอะไร

เพราะว่า ถ้าเป็นเกจิอาจารย์มันสำคัญที่ว่าท่านดีเฉพาะตนของท่าน เวลาท่านมรณภาพไปมันก็จบไง

แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านสิ้นสุดแห่งทุกข์แล้วท่านเห็นคุณค่าในพระพุทธศาสนา ท่านพยายามฝึกหัด พยายามคุ้มครองดูแล พยายามเป่ากระหม่อมไง ให้เกิดธรรมทายาท

พอธรรมทายาทจากหลวงปู่มั่นรุ่นที่ ๑ มารุ่นที่ ๒ มันมีการส่งต่อ มีการส่งต่อ ต่อยอดมา จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่งไง ให้ศาสนามีแนวทางปฏิบัติมาไง

คนถ้าไม่มีอำนาจไม่มีวาสนา แม้แต่ตัวของตัวเองก็เอาตัวเองไม่รอด แล้วถ้าตัวเองเอาตัวไม่รอด ตัวเองไม่รู้อะไรเลย ถ้าตัวเองไม่รู้อะไรก็วูบไปวูบมาอย่างนี้ แล้วมันก็สันนิษฐาน มันก็ด้นก็เดา ความด้นความเดามันไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ไง

แต่ถ้าหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ไง มันมีอริยสัจ มันมีสัจจะมีความจริงไง มันมีสังโยชน์ ๑๐ ละสังโยชน์ ๑๐ เป็นคนตรวจสอบ ตรวจสอบว่าจิตดวงนั้นมันรู้จักสังโยชน์ไหม มันเห็นสังโยชน์ไหม แล้วมันละสังโยชน์ได้จริงหรือไม่

แล้วละสังโยชน์ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ ขณะ ขณะที่มันละ มันดับทุกข์ นิโรธ นั่นน่ะสังโยชน์ เวลาละสังโยชน์ สังโยชน์ ๓ เวลาสังโยชน์ ๕ แล้วสังโยชน์เบื้องต่ำ สังโยชน์เบื้องสูง สังโยชน์เบื้องสูงนะ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา มันเป็นอย่างไร เวลามันสรุป เวลามันสังโยชน์ ๑๐ ขาดไป นี่ไง มันก็ส่งต่อเป็นรุ่นๆๆ ไง

ถ้ารุ่นๆ เพราะว่าผู้ที่มีอำนาจวาสนาเขาเคารพเขาบูชา เขาเป็นสัมมาทิฏฐิถูกต้องชอบธรรม เคารพบูชาธรรม แล้วพยายามหลีกหนีกิเลส ไม่ใช่เคารพกิเลสแต่หลีกหนีธรรมไง

นี่พูดถึงว่า ปัญญาทำ มันถึงมีสติมีปัญญา

นี่พูดถึงปัญญาอบรมสมาธิ

ฉะนั้น สิ่งที่ปัญญาทั้งหมดทั้งโลกที่เป็นกันอยู่มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ พอปัญญาอบรมสมาธิมันมีความสุขความสงบของมัน แล้วเดี๋ยวเราก็แยกแยะได้ว่า ความคิดที่คิดโดยปุถุชนคนหนา คิดโดยกิเลสเป็นแบบนี้ แล้วเวลาเรามีสติปัญญา เราคิดโดยธรรม ปัญญาทำ ทำให้สงบ

แล้วสงบบ่อยครั้งเข้ามันต้องเจริญก้าวหน้า เวลาเจริญก้าวหน้า สังเกตเห็นจิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นกาย จิตเห็นเวทนา จิตเห็นจิต

นี่ไง สิ่งที่ว่า อารมณ์เป็นอารมณ์ เวลาถ้ามันเห็นแล้วมันจะเห็นรูปความรู้สึกนึกคิดนี้เป็นขันธ์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ถ้ามีวิปัสสนาใช้สติปัญญา ขันธ์อย่างนี้ขันธ์นอก ขันธ์นอกคือโสดาบัน สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส เวลามันขาด ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ไง ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ นี่ขันธ์นอก

ขันธ์ใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ กายเป็นอุปาทาน มันยึดระหว่างกายกับจิต จิตมันยึดมั่นถือมั่นของมันโดยสังโยชน์

เวลาพิจารณาไป เวลาพิจารณา ขันธ์นอก ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕

ขันธ์อย่างกลาง ขันธ์ที่เป็นอุปาทาน เวลาพิจารณาไป ขันธ์ใน เวลามันขาด กายเป็นโพธิ จิตเป็นกระจกใส ขาด

จิตนอก ขันธ์นอก จิตใน ขันธ์ใน เวลาพิจารณาไป เวลามันขาด กายเป็นโพธิ จิตเป็นกระจกใส

แล้วยากมากที่จะเข้าไปเห็นความละเอียดของขันธ์อย่างหยาบ ขันธ์อย่างกลาง ขันธ์อย่างละเอียด เวลาถ้ามันเข้าไปเห็นขันธ์อย่างละเอียด รูปราคะ อรูปราคะ

ขันธ์อย่างละเอียด บ้านสามหลัง ความโลภ ความโกรธ ความหลง เวลาพิจารณา เวลามันขาด จิตถอด

จิตนอก จิตใน จิตถอด มันถอด จิตถอด ก็ขันธ์ทั้งหมด เวลาจิตถอดไปแล้วเหลืออะไรล่ะ เหลือจิต ถ้าเหลือจิตนี่ไง

จิตนอก จิตใน จิตถอด จิตเห็นจิต เวลาชำระถึงที่สุดแห่งทุกข์ นี่ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาวิมุตติ เจโตวิมุตติเป็นอีกอย่างหนึ่ง นี่เวลาการกระทำนะ

นี่พูดถึงคำถามเขาเขียนมาถามว่า เขาทำแล้วเขาชื่นชมของเขา เขาปฏิบัติของเขาได้

ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิ คือทำสมาธิโดยปัญญา มันไม่ตกภวังค์ มันมีสติสัมปชัญญะพร้อม ไอ้พุทโธๆ หรือลมหายใจนั้นเป็นจริตนิสัยที่ทำได้ดีงาม มันต่อเนื่องกัน

ทีนี้หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านสอน

อย่าทิ้งผู้รู้ อย่าทิ้งพุทโธ

ถ้าอย่าทิ้งผู้รู้ อย่าทิ้งพุทโธ เพราะโดยจริตโดยนิสัย ปัญญาอบรมสมาธิมันทำได้พื้นฐาน หรือทำแล้วมันมีกำลังมากน้อยขนาดไหน มีสติปัญญามากน้อยขนาดไหน หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธนี่ชัดๆ กรรมฐาน ๔๐ ห้อง แล้วมีอำนาจวาสนาของตน ทำของตนให้ได้

แล้วถ้าทำของตนที่ไม่เท่าทัน ตกภวังค์หมดน่ะ นั่งหลับหมด หลับใหลไปหมด

แล้วพอจิต จิตที่มันมีสัมมาสมาธิ จิตมันสงบ มันมีอาการ อาการร้อยแปดพันเก้า สติปัญญาไม่เท่าทันๆ ไม่ชำนาญในวสี

การชำนาญในวสีคือการเข้าและการออกสมาธิ ถ้าการเข้าและการออกสมาธิ แล้วน้อมไปเห็นสติปัฏฐาน ๔ แล้วฝึกหัดใช้สติปัญญา มันจะเป็นวิปัสสนา

แต่ส่วนใหญ่แล้วพอมันไปรู้ไปเห็นสิ่งใด วุฒิภาวะจิตมันอ่อนแอ รู้เห็นอะไรก็บรรลุธรรมๆ บรรลุธรรมอะไร มันรู้เห็น มันปล่อยวาง ถ้ามีสติสัมปชัญญะมันปล่อยวาง ปล่อยวางก็คือปล่อยวาง ปล่อยวางโดยไม่มีเหตุมีผล ปล่อยวางโดยอะไร

แต่มันปล่อยวางบ่อยครั้งเข้าๆ ตทังคปหาน เวลามันสมุจเฉทปหาน มันขาด ขาดอย่างไร มันทำของมันอย่างไร

นี่พูดถึงว่า ถ้าเป็นปัญญาทำ มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ เป็นปัญญาวิมุตติ

ถ้าสมาธิทำ ศีล สมาธิ ปัญญา สมาธิทำปัญญา มันจะเป็นเจโตวิมุตติ แต่มันต้องมีสติมีปัญญาไม่ให้เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่มีความหลงผิด ไม่ให้กิเลสมันหลอกมันลวง ให้มันเป็นข้อเท็จจริงขึ้นมา

มันถึงว่า อริยสัจมีหนึ่งเดียว หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เวลาธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ครูบาอาจารย์ท่านสนทนาธรรมกัน ธรรมะมีหนึ่งเดียว อริยสัจมีอันเดียว ธรรมมีหนึ่งเดียว เอโก ธมฺโม ธรรมอันเอก จบ